อนาคตของธรรมาภิบาลโลกและสภาโลก

Emanuel Pastreich
2 min readSep 11, 2022

“อนาคตของธรรมาภิบาลโลกและสภาโลก”

Emanuel Pastreich

14 มิถุนายน 2020

เราได้รับแต่ทางเลือกที่สิ้นหวัง และนี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

โลกถูกดึงเข้าหากันด้วยแรงที่ซ่อนอยู่ ด้วยการโยกย้ายเงินจากธนาคารหนึ่งไปยังอีกธนาคารหนึ่ง ด้วยการโอนถ่ายข้อมูล ภาพถ่าย และข้อความที่แลกเปลี่ยนกันระหว่างสื่อที่ผูกขาด ธนาคาร รวมทั้งบริษัทประชาสัมพันธ์และให้คำปรึกษาซึ่งให้บริการมหาเศรษฐี และทำให้อุบายที่เห็นแก่ได้ที่สุดของพวกเขาดูราวกับมีมนุษยธรรม

โลกกำลังหลอมรวมกันในขณะที่ความมั่งคั่งและอำนาจกระจุกอยู่ในกำมือของคนไม่กี่คน ข้อมูลที่คนทำงานได้รับนับวันก็ยิ่งซ้ำซากไร้สาระขึ้นไปทุกที หากเราต้องการที่จะตอบสนองต่อปัญหาระดับนานาชาติ เราก็จะถูกบังคับให้ทำงานร่วมกับอำนาจใหม่ ๆ เหล่านี้ ให้โค้งคำนับพระเจ้าปลอม ๆ ซึ่งเป็นเจ้าแห่งกิจการทั่วโลกที่แต่งตั้งตัวเองขึ้นมา

เราถูกเหยียบย่ำโดยโลกาภิวัตน์ที่ไร้ความปรานีซึ่งควบคุมเงินทั้งหมด ผลิตทุกสิ่งที่เราจำเป็นต้องใช้ และแม้กระทั่งพยายามควบคุมจิตใจของเราผ่านโพสต์บนเครือข่ายโซเชียลที่ลดทอนคุณค่าของเราให้เหลือแค่สัตว์ที่ใช้สัญชาตญาณตอบสนองต่อภาพที่ถูกชี้นำมาให้ แต่ทางเลือกในการต่อต้านโลกาภิวัตน์ที่เรามีก็เป็นกลุ่มเหยียดชาติพันธุ์ กลุ่มผู้นับถือลัทธิโดดเดี่ยว กลุ่มใช้ความรุนแรงและวาทกรรมที่รบกวนจิตใจเป็นอย่างยิ่ง กลุ่มเหล่านี้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่พวกเขาไม่สนใจความจริง หากแต่เน้นดึงดูดอารมณ์ของแรงงานที่คับข้องใจไปในทางที่ผิดไม่น้อยไปกว่ากัน

กลุ่มเหล่านี้ไม่ต้องการปฏิรูปสถาบันทั่วโลก แต่เพียงต้องการแบ่งแยกอาณาเขตของตนเองโดยสมบูรณ์ พวกเขาไม่นำเสนอวิธีแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือการครอบงำสังคมด้วยเทคโนโลยีใด ๆ เลย ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาละเลยภัยคุกคามเหล่านี้โดยสิ้นเชิง

หรือเราจะหันไปพึ่งพาแนวทางจากสถาบันระดับโลกซึ่งมีเป้าหมายที่มีวิสัยทัศน์อย่างสหประชาชาติหรือองค์การอนามัยโลก

ผมรู้สึกประทับใจเมื่อได้ยินถ้อยคำที่สร้างแรงบันดาลใจขององค์การยูเนสโก (องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ) ที่ว่า “เพราะสงครามเริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจของมนุษย์ การปกป้องสันติภาพจึงต้องสร้างขึ้นในจิตใจของมนุษย์เช่นกัน”

แม้สถาบันระหว่างประเทศเฉกเช่นยูเนสโกเหล่านี้จะยังคงเก็บรักษาอดีตอันดีงามของตนเองไว้อยู่บ้าง แต่องค์กรเหล่านี้ได้หมกมุ่นอยู่กับเงินจากบริษัทต่าง ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อมมากเสียจนลำดับความสำคัญของสถาบันเหล่านี้ได้ถูกชี้นำโดยมหาเศรษฐีพันล้านอย่าง Bill Gates ที่โปรโมทเงินของพวกเขาเองและจัดทำวาระโดยจัดฉากว่าเป็นการกุศล

เมื่อมีทางเลือกที่เป็นไปไม่ได้นี้ พวกเราส่วนใหญ่ที่มีเวลา การศึกษา และแรงจูงใจให้พยายามตอบสนองต่อโลกาภิวัตน์ก็ไม่ทราบว่าจะหันไปพึ่งใคร หลาย ๆ คนได้ล้มเลิกความตั้งใจ ธนาคารที่เป็นนายทุนยินดีกับผลลัพธ์นี้เป็นอย่างยิ่ง

มีความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างแรงผลักดันธุรกิจและกิจกรรมทางการเงินที่ครอบงำด้วยโลกาภิวัตน์กับวิสัยทัศน์ความเป็นสากลที่สร้างแรงบันดาลใจ การที่พลเมืองโลกร่วมใจกันเพื่อธรรมาภิบาลที่มีข้อมูลและจริยธรรมอันนำไปสู่การก่อตั้งสหประชาชาติและองค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการแก้ปัญหาที่พบได้ทั่วไปของมนุษยชาติ

โลกาภิวัตน์ช่วยนำผู้คนมาพบกัน โดยมักเป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉียบแหลม เพื่อแสวงหาผลกำไรผ่านการค้าและการพัฒนาเทคโนโลยี ในยุคโลกาภิวัตน์ เราเชื่อกันว่าการตัดสินใจของธนาคารและบรรษัทข้ามชาติจะเป็นการช่วยเหลือผู้คนธรรมดาทั่วไป และเชื่อว่าการเติบโตและการบริโภคจะนำความสุขมาให้กับทุกคน แต่ธุรกิจสามารถวัดความสำเร็จเป็นผลกำไรได้เท่านั้น และแม้ว่าบริษัทเหล่านี้อาจใช้กำไรบางส่วนเพื่อช่วยเหลือคนยากจน แต่แรงจูงใจของพวกเขาคือการเอารัดเอาเปรียบ

เราจำเป็นต้องกลับสู่ประเพณีความเป็นสากลที่กล้าหาญไม่เกรงกลัวใคร แล้วสร้างทางเลือกให้กับโลกาภิวัตน์ที่ไม่ต้องโดดเดี่ยวตัวเองหรือยึดมั่นในอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์

ให้นึกถึงการทำลายป่าแอมะซอนในปัจจุบันภายใต้ระบอบการปกครองของประธานาธิบดีบราซิล Jair Bolsonaro การดำเนินการในปัจจุบันซึ่งสื่อต่าง ๆ เพิกเฉยนั้นเป็นภัยที่อาจทำลายล้างอารยธรรมและลงโทษลูกหลานของเราด้วยโลกที่แห้งแล้ง เราทำอะไรไม่ได้ สถาบันระหว่างประเทศของเราไร้อำนาจ

ป่าแอมะซอนกำลังถูกทำลาย และสิ่งที่มาแทนที่คือบริษัทยักษ์ใหญ่ Amazon ที่ขยายกิ่งก้านสาขาไปควบคุมเศรษฐกิจโลก ป่าที่ทำให้อากาศของเราบริสุทธิ์ถูกทำลายและเผา ในขณะที่ป่าดิจิทัลซึ่งปิดกั้นเสรีภาพทางเศรษฐกิจกำลังเบ่งบาน

เราจำเป็นต้องมีระบบที่สามารถระบุถึงปัญหาระดับโลกและประสานงานการตอบสนองในระดับท้องถิ่น สหประชาชาติสามารถออกแถลงการณ์ ปัญญาชนที่มีชื่อเสียงสามารถออกมาเขียนบทบรรณาธิการ องค์กรพัฒนาเอกชนสามารถทำการประท้วงและให้ประชาชนลงนามในคำร้องได้ แต่กลับไม่มีความพยายามร่วมกันเพื่อต่อต้านแรงขับเคลื่อนอันเลวร้ายที่จะทำลายอนาคตของเราเลย

แต่การเปลี่ยนระบอบการปกครองแบบก้าวหน้าในระดับสากล (ซึ่งตรงข้ามกับกลโกงในการเปลี่ยนระบอบการปกครองที่นำโดยบริษัท) เป็นเป้าหมายที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่ประชาชนควรเสาะแสวงหา

อย่าลืมเยาวชนหลายพันคนจากทั่วโลกที่เดินทางไปยังประเทศสเปนในช่วงทศวรรษที่ 1930 เพื่อต่อสู้กับระบอบฟาสซิสต์ของ Franco ไม่มีความน่าอับอายในคำว่า “เปลี่ยนระบอบ” ในบริบทนั้น และก็ไม่ควรที่จะมี

และไม่มีความน่าอับอายใด ๆ ในการใช้กำลังต่อสู้กับรัฐบาลฟาสซิสต์ที่มุ่งสังหารมนุษยชาติส่วนใหญ่เพื่อเสาะแสวงหา “พื้นที่อยู่อาศัย” อย่างโหดเหี้ยม มันไม่มีทางเลือกเลยจริง ๆ

เราไม่อาจเพิกเฉยต่อความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องเปลี่ยนแปลงการกำกับดูแลโลกของเรา และเราจำเป็นต้องทำมากกว่าแค่ลงนามในคำร้อง เราจะต้องปฏิรูปธรรมาภิบาลโลกใหม่ มิใช่เพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับนักลงทุนจากธนาคารและคนใจบุญผู้ร่ำรวย แต่เพื่อเป็นวิธีจัดการภัยคุกคามของการล่มสลายของระบบนิเวศ ลัทธิทหาร และการกระจุกตัวของความมั่งคั่งมหาศาล

เราจำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์สำหรับอนาคตที่ก้าวไกลกว่าเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการบริโภคซึ่งจะพาเราสู่หายนะและสังคมทหารที่หวาดระแวง วิสัยทัศน์ที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้เรากล้าเสี่ยงกับทุกสิ่งในระหว่างที่เรากำลังต่อสู้กับแรงที่ซ่อนอยู่ซึ่งกำลังฉีกโลกของเราออกเป็นเสี่ยง ๆ

สหประชาชาติไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน

ปัญญาชนและนักเคลื่อนไหวกลุ่มเล็ก ๆ ทั่วทุกมุมโลกเสี่ยงชีวิตเพื่อต่อสู้กับลัทธิเผด็จการ และเพื่อสนับสนุนหลักสากลนิยมและสันติภาพโลก ในที่สุด คนเหล่านี้ก็ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลรัสเซีย จีน สหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่ รวมทั้งรัฐบาลพลัดถิ่นอื่น ๆ โดยจำเป็นต้องมีการประนีประนอมเป็นอย่างมากเพื่อรับการสนับสนุนดังกล่าว แต่ความฝันที่จะเอาชนะลัทธิฟาสซิสต์และสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างแท้จริงนั้นยังคงอยู่

รากฐานของสหประชาชาติสืบย้อนไปได้ถึงอนุสัญญาสันติภาพ ณ กรุงเฮก (Hague Peace Conventions) ในปี 1899, 1907 และ 1914 (ฉบับสุดท้ายต้องสะดุดจากการปะทุของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง) อนุสัญญาสันติภาพเหล่านั้นประมวลกฎหมายระหว่างประเทศ เสนอ และนำระบอบสากลเพื่อการปลดอาวุธไปบังคับใช้ และประกาศใช้กฎหมายมนุษยธรรมเพื่อการทูต การค้า และสงครามซึ่งรวมถึงบทลงโทษสำหรับอาชญากรรมสงคราม อนุสัญญาสันติภาพ ณ กรุงเฮกคือจุดกำเนิดของกฎเกณฑ์ส่วนใหญ่ที่เรามองว่าเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ

อนุสัญญาสันติภาพ ณ กรุงเฮกนำไปสู่การก่อตั้งสันนิบาตชาติ (League of Nations) หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เป็นครั้งแรกที่โลกของเรามีรูปแบบของธรรมาภิบาลโลกเพื่อต่อต้านการกำกับดูแลโลกที่ขับเคลื่อนโดยบรรษัทข้ามชาติ สันนิบาตชาติประสบความสำเร็จดังกล่าวเมื่อกติกาสัญญาเคลลอก-บริยอง (Kellogg–Briand Pact) ในปี 1928 มีการตั้งกรอบเพื่อยุติสงความ และความสำเร็จของสันนิบาตชาติและการเคลื่อนไหวระดับนานาชาติอื่น ๆ นั้นเป็นสิ่งที่ช่วยวางรากฐานให้กับสหประชาชาติ

เป็นเรื่องน่าเสียดายที่สหรัฐอเมริกาซึ่งเปี่ยมด้วยความมั่นใจหลังได้รับชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สองนั้นไม่อาจต่อต้านการสืบทอดหลักการกำกับดูแลโลกที่เอารัดเอาเปรียบได้ จากการล่มสลายของจักรวรรดิอังกฤษ ในที่สุด ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินระดับหัวกะทิของอเมริกาที่มีความสัมพันธ์กับลอนดอนอย่างแน่นแฟ้นก็กดขี่ชาวอเมริกันที่ยังมุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับลัทธิฟาสซิสต์ และสหรัฐก็ได้เปลี่ยนสหภาพโซเวียตให้เป็นภัยคุกคามแทนที่จะเป็นพันธมิตรเพื่อสันติภาพโลก สงครามเย็นได้ก่อตัวขึ้นและอำนาจของสหประชาชาติได้ถูกจำกัด

ถึงกระนั้น แม้หลังจากที่สหประชาชาติได้ถูกตัดงบประมาณลงอย่างน่าใจหายในยุคของ George W. Bush และถึงแม้ว่านโยบายของอเมริกาจะตีห่างไปจากกฎหมายระหว่างประเทศมากขึ้นทุกทีภายใต้การบริหารของ Obama และ Trump สหประชาชาติก็ยังคงเป็นองค์กรหลักที่ประชาชนจะสามารถเรียกร้องขอความยุติธรรมและคำแนะนำได้

อย่างไรก็ตาม สหประชาชาติและสถาบันในเครือทั่วโลกได้ถอยห่างจากอุดมการณ์ที่เคยตั้งไว้ องค์กรเหล่านี้ดำเนินงานโดยข้าราชการเกษียณแบบสบาย ๆ และได้เงินทุน (ทั้งทางตรงและทางอ้อม) มาจากบรรษัทข้ามชาติและมหาเศรษฐี ซึ่งเป็นความขัดแย้งทางผลประโยชน์อย่างโจ่งแจ้ง

การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและแรงผลักดันในการทำสงคราม วิวัฒนาการของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าแบบทวีคูณและผลกระทบในเชิงลบที่มีต่อแรงงานที่เป็นมนุษย์ถือเป็นความท้าทายทางอารยธรรมครั้งใหญ่ที่เรียกร้องให้มีธรรมาภิบาลโลกอย่างแท้จริง แต่พลเมืองโลกก็ยังมีความสามารถในการประสานงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันที่จำกัด ซึ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด

เราต้องการองค์กรแห่งธรรมาภิบาลโลกที่มีความรับผิดชอบต่อประชาชน ซึ่งตรงข้ามกับสถาบันลับเพื่อประโยชน์ส่วนตนที่คอยครอบงำอย่าง G7 หรือ IMF

ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ดีกินดีในสำนักงานต่าง ๆ ของสหประชาชาติที่คอยไล่ล่าเงินทุนจากมูลนิธิซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยกลุ่มผู้มีฐานะร่ำรวยนั้น ไม่มีความพร้อมในการรับมืออันตรายที่แท้จริงจากการล่มสลายทางเศรษฐกิจ ระบบนิเวศ และระบบต่าง ๆ เลยแม้แต่น้อย ความคิดเห็นที่แปลกประหลาดเกี่ยวกับสภาพอากาศ ระบบนิเวศ สุขภาพ และภูมิรัฐศาสตร์ของมหาเศรษฐีอย่าง Bill Gates, Michael Bloomberg และ Warren Buffett มีค่ามากกว่าความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีจริยธรรมหรือพลเมืองโลก

ปัญหาโลกาภิวัตน์ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับมหาเศรษฐีเท่านั้น เรามีเครือข่ายเชื่อมต่อซูเปอร์คอมพิวเตอร์หลายหมื่นเครื่องทั่วโลกที่ส่งเสียงเบา ๆ ในระหว่างที่กำลังคำนวณวิธีเพิ่มกำไรให้ได้มากที่สุดทุกวัน ทุกนาที และทุกวินาที ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เหล่านั้นทำการตัดสินใจขั้นสุดท้ายให้กับ BlackRock และธนาคารแห่งอเมริกา โดยพยายามประเมินมูลค่าเงินของทั้งโลกและดึงกำไรตามอัลกอริธึมที่กำหนดให้โดยปราศจากจรรยาบรรณใด ๆ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เหล่านั้นกำลังกลายมาเป็นรัฐบาลของโลกไปโดยปริยาย

และหากเครือข่ายโซเชียล วิดีโอ และเกมทำการปรับผังโครงข่ายประสาทในสมองของเราใหม่ โดยส่งเสริมความคิดในระยะสั้นที่ขับเคลื่อนด้วยโดปามีนแล้วละก็ คอมพิวเตอร์ก็จะก้าวขึ้นมาควบคุมเรา

เราผู้เป็นมนุษย์ยังไม่ได้เสียสติ แต่เราได้มอบหมายงานจริงให้กับซูเปอร์คอมพิวเตอร์โดยไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ

อย่าปฏิรูปสหประชาชาติ แต่จงเปลี่ยนแปลงสหประชาชาติ!

สหรัฐไม่เคยได้ความมุ่งมั่นต่อสหประชาชาติที่เคยมีในยุคของประธานาธิบดี Franklin Roosevelt กลับคืนมา การบริหารงานของผมจะทำให้สหประชาชาติเป็นศูนย์กลางของการทูต เศรษฐกิจ และความมั่นคง แต่ผมจะทำให้สหประชาชาติแตกต่างจากเปลือกที่เราเห็นในทุกวันนี้ โดยจะเป็นองค์กรที่มุ่งรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมโดยไม่รุมแย่งชิงเศษเงินที่กลุ่มคนรวยล้นอำนาจโยนไปให้

การโจมตีจากฝั่งขวาเกี่ยวกับธรรมาภิบาลโลก (โดยเฉพาะสหประชาชาติ) มักตั้งอยู่บนรากฐานของข้อเท็จจริง แต่กลับมีเจตนาที่ไร้คุณธรรม อำนาจที่ซ่อนเร้นอยู่ปรารถนาที่จะทำให้ระบบสากลที่ยังหลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยซึ่งมีบทบาทสำคัญ (แม้จะเป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่น) ในการออกกฎหมายและกฎระเบียบระหว่างประเทศ รวมทั้งการส่งเสริมการตอบสนองทางวิทยาศาสตร์ต่อภัยคุกคามระหว่างประเทศมาอยู่ในกำมือของตนเอง

โลกที่อันตรายและไม่แน่นอนของเราต้องการการตอบสนองทั่วโลกจากเรา คำว่า “ทั่วโลก” ไม่ได้หมายถึงการแชร์โพสต์ Facebook แต่หมายถึงความพยายามร่วมกันในระดับนานาชาติของพลเมืองโลกผู้มีความมุ่งมั่น ซึ่งอย่างน้อยก็ควรมีระเบียบไม่น้อยไปกว่านักการธนาคารและมหาเศรษฐีที่เราต้องการยืนหยัดต่อสู้

โลกผสานรวมเป็นหนึ่งในด้านการเงิน การผลิต การกระจายสินค้า และการบริโภคเพื่อผลกำไรมากจนเกินไป แต่เรายังคงแปลกแยกในแง่ของความร่วมมือระหว่างปัญญาชนผู้มีจริยธรรมและกลุ่มพลเมืองทั่วโลก

อันดับแรกที่สำคัญที่สุด เราจำเป็นต้องมีระบบสากลที่สนับสนุนการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์อย่างมีเหตุผลเกี่ยวกับสาเหตุของภัยคุกคามที่เราประสบ และระบบที่นำการตอบสนองอันยิ่งใหญ่เพื่อโลกทั้งใบไปใช้ได้ทันที

สภาโลก

สถานการณ์ปัจจุบันอยู่ในขั้นวิกฤตมากจนไม่สามารถค่อย ๆ ปฏิรูปไปทีละอย่างได้ เราจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครั้งใหญ่ในการที่จะเปลี่ยนแปลงการทำงานของสหประชาชาติ ไม่ใช่การปรับเปลี่ยนแบบค่อยเป็นค่อยไป

เราต้องทำให้สหประชาชาติเป็นสถาบันที่เป็นตัวแทนของทั้งสองฝ่ายซึ่งคล้ายคลึงกับสภาคองเกรสเพื่อไม่ให้องค์กรเป็นเพียงตัวแทนของรัฐชาติ (ซึ่งแตกสลายจากการเงินทั่วโลก) แต่เป็นตัวแทนของพลเมืองโลกในรูปแบบที่เป็นประชาธิปไตย

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมอบอำนาจที่เคยมีในปี 1942 กลับไปยังสหประชาชาติ

สมัชชาสหประชาชาติในปัจจุบันจะทำหน้าที่เป็นสภาสูงซึ่งเทียบเท่ากับวุฒิสภา สภาสูงที่ยังคงใช้ชื่อ “สหประชาชาติ” จะให้แต่ละประเทศมีผู้แทนหนึ่งราย อย่างไรก็ดี คณะมนตรีความมั่นคงในปัจจุบันจะถูกแทนที่ด้วยโฆษกที่เลือกโดยสมาชิกทั้งหมดของสหประชาชาติ ซึ่งจะทำงานร่วมกับคณะกรรมการถาวรและเฉพาะกิจเพื่อจัดการปัญหาเศรษฐกิจ ความมั่นคง สวัสดิการ และสิ่งแวดล้อมเพื่อโลกของเรา

อย่างไรก็ตาม อำนาจของธรรมาภิบาลโลกต้องถูกโยกย้ายไปยังหน่วยงานใหม่ซึ่งจะทำหน้าที่เทียบเท่ากับสภาล่างหรือ “สภาผู้แทนราษฎร” การอุปมาอุปไมยนี้มีข้อจำกัดในแง่ที่ว่าสมัชชานี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลาง

สภาดังกล่าวซึ่งเรียกในที่นี้ว่า “สภาโลก” จะแสดงให้เห็นถึงความต้องการและข้อกังวลของพลเมืองโลกในระดับท้องถิ่น และทำหน้าที่เป็นสถาบันระดับสากลในการกำหนดและบังคับใช้นโยบายสำหรับทั้งโลก

สภาโลกจะทำหน้าที่กำกับดูแลทั่วโลกซึ่งในปัจจุบันได้รับการผูกขาดโดยธนาคารและบรรษัทข้ามชาติที่บังคับใช้นโยบายของตนเองกับรัฐชาติต่าง ๆ อย่างลับ ๆ

สภาโลกจะมีส่วนร่วมโดยตรงกับพลเมืองทั่วโลก โดยจะตอบสนองต่อข้อกังวลของประชากรในพื้นที่แล้วแจ้งให้พวกเขาทราบถึงปัญหาระดับโลกในเชิงวิทยาศาสตร์ด้วย สภาโลกจะจัดการพูดคุยสนทนาในระดับสากลเพื่อการกำหนดนโยบายสำหรับทั้งโลก สภาโลกจะมีความเป็นประชาธิปไตยมากกว่ารัฐชาติในปัจจุบันส่วนใหญ่มากแม้จะแผ่ขยายครอบคลุมไปทั่วโลก

กฎข้อแรกสำหรับธรรมาภิบาลโลก คือ เงินทุนส่วนบุคคล มูลนิธิ และองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ได้ทุนจากกลุ่มคนร่ำรวยจะไม่มีบทบาทในการอภิปรายถึงอนาคตของโลก

เราจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ตามการอภิปรายอย่างเคร่งครัดและมีวิจารณญาณ เราต้องการความมุ่งมั่นทางจริยธรรมอย่างลึกซึ้งจากสมาชิกของสภาโลก และเราต้องการจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์เพื่อค้นพบวิธีแก้ปัญหาในจุดที่ไม่คาดคิด

สภาโลกซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากท้องถิ่นจะทำหน้าที่เป็นองค์กรระดับโลกที่สามารถประเมินผลกระทบของการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรของบริษัทต่าง ๆ และสามารถหยุดการกระทำดังกล่าวได้ โดยจะเป็นองค์กรที่สามารถควบคุมการกระทำความผิดทางอาญาที่เกิดขึ้นในบราซิลในปัจจุบันหรือแรงขับเคลื่อนเพื่อก่อสงครามอย่างไม่รู้จบโดยฝ่ายต่าง ๆ ในกระทรวงกลาโหมสหรัฐได้

แม้สภาโลกจะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างเต็มที่ในเชิงบวกเพื่อส่งเสริมความร่วมมืออย่างแท้จริงทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยสนทนาระหว่างประชาชน การวิจัยร่วมกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์หรือความร่วมมือในประเด็นระดับโลกระหว่างรัฐบาลต่าง ๆ แต่สภาโลกจะไม่มีอาคารศูนย์กลางที่ผู้แทนจะมารวมตัวกัน แต่จะมีสถานที่พบปะกระจายไปทั่วโลกเพื่อประสานงานในการกำหนดและบังคับใช้นโยบายในระดับท้องถิ่นอย่างยุติธรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษยชาติ

สภาโลกจะมอบโอกาสให้พลเมืองโลกได้เรียนรู้เกี่ยวกับปัญหาวิกฤตที่เราต้องเผชิญ พร้อมให้โอกาสในการมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลระดับท้องถิ่น ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นในการอภิปรายนโยบายในระดับสากลไปพร้อม ๆ กัน

สภาโลกจะเป็นผู้นำในการกำหนดกลยุทธ์ที่ช่วยให้พลเมืองสามารถทำงานร่วมกันทั่วโลกได้ การค้าจะไม่ถูกจำกัดไว้แค่เพียงการนำเข้าและส่งออกสินค้าที่ผูกขาดโดยบริษัทใหญ่ในลักษณะที่เพิ่มการปล่อยคาร์บอนในปริมาณมากอีกต่อไป

จะมีการจัดตั้งเศรษฐกิจร่วมที่ชุมชนทั่วโลกสามารถพบปะกับพันธมิตรที่มีความสนใจร่วมกัน และประสานงานการค้าระดับย่อยและสหกรณ์การผลิตของตนเอง โดยจะมีการวางกฎระเบียบที่เข้มงวดซึ่งจะนำไปใช้ในระดับสากล

ในนามของประชากรทั่วโลก สภาโลกจะปกป้องมหาสมุทร อาร์กติกและแอนตาร์กติก ชั้นบรรยากาศ ดาวเทียม และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่โคจรรอบโลก และจะกำหนดกฎระเบียบที่โปร่งใสและมีประสิทธิผลเพื่อให้มั่นใจได้ว่าอินเทอร์เน็ตใช้พลังงานหมุนเวียนทั้งหมด เป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ และส่งเสริมวาทกรรมทางปัญญาที่เปิดกว้างตามหลักวิธีการทางวิทยาศาสตร์

สภาโลกในฐานะหน่วยงานนิติบัญญัติหลักของโลกจะกำหนดผู้แทนตามจำนวนประชากรของทั้งโลก

อาจมีการแต่งตั้งผู้แทนหนึ่งรายต่อประชากรทุก ๆ 50 ล้านคน (ผู้แทน 120 รายสำหรับประชากร 6 พันล้านคน) ผู้แทนบางส่วนควรได้รับการกำหนดตามลักษณะทางภูมิศาสตร์ (เพื่อเป็นตัวแทนของภูมิภาคอย่างแอฟริกาหรืออเมริกาใต้) แต่ในขณะเดียวกันก็ควรมีสมาชิกสภาโลกที่เป็นตัวแทนของกลุ่มที่เป็นส่วนสำคัญของประชากรโลก แต่มีจำนวนน้อยเกินไปที่จะมีผู้แทนได้โดยตรงในรัฐบาลท้องถิ่น เช่น กลุ่มที่มีฐานะยากจนมากหรือคนพิการ

สภาโลกต้องยืนหยัดให้มีวิธีการแก้ปัญหาในระยะยาว (อย่างน้อย 30 ปี) สำหรับปัญหาสำคัญที่สุดที่โลกต้องเผชิญ และจะส่งเสริมการอภิปรายที่รอบคอบและตรงไปตรงมาซึ่งมิได้ถูกผลักดันโดยความต้องการภาพในเชิงสัญลักษณ์ หากแต่เป็นความต้องการวิธีแก้ปัญหาอย่างแท้จริง นอกจากนี้ สภาโลกจะจัดหาเงินทุนระยะยาวทั่วโลกซึ่งจะทำให้พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และการเพาะปลูกแบบออร์แกนิกมีราคาไม่แพงสำหรับพลเมืองโลก

สำหรับสภาโลก ความมั่นคงจะหมายความถึงการปกป้องคุ้มครองโลกและผู้อยู่อาศัย ผู้อยู่อาศัยบนโลกไม่ได้มีเฉพาะมนุษย์ แต่ยังรวมถึงสัตว์และพืชอีกด้วย ความคิดที่ว่าไม่มีใครเป็นเจ้าของมหาสมุทร อากาศ หรือแผ่นดินจะเป็นแนวคิดพื้นฐานในธรรมาภิบาลโลก และแนวคิดสมัยใหม่ทั้งหมด เช่น “อสังหาริมทรัพย์” และ “การสกัดมาใช้” ใช้ไม่ได้กับทรัพยากรที่ใช้ร่วมกันเหล่านี้ สภาโลกจะควบคุมการประมง มลภาวะในอากาศและน้ำ การทำลายดินและแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติอย่างเข้มงวด โดยจะให้ทุนโครงการต่าง ๆ เพื่อฟื้นฟูสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ซึ่งมักเป็นการรื้อถอนโครงสร้างที่ก่อขึ้นโดยเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิ “การพัฒนา”

ปฏิสัมพันธ์ของผู้เชี่ยวชาญในสาขาธรณีศาสตร์ สิ่งแวดล้อม เกษตรกรรม และเทคโนโลยีกับกลุ่มที่มีส่วนร่วมกับประชาชนทั่วไปอย่างแน่นแฟ้นและผู้แทนของรัฐบาลท้องถิ่นจะสร้างวงจรเชิงบวกของการสอบถาม การวิเคราะห์วัตถุประสงค์ ข้อเสนอเชิงสร้างสรรค์ และการดำเนินการที่โปร่งใสซึ่งจะนำไปสู่ยุคใหม่ของการกำกับดูแลที่มีความหมาย

อนาคตของธรรมาภิบาลโลกเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการจัดการกับความขัดแย้งที่ไม่จำเป็นโดยสิ้นเชิงระหว่างสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งได้รับการส่งเสริมเพื่อความสนุกสนานและผลประโยชน์ ประเทศทั้งสองควรร่วมมือกันในระดับสูงสุดเพื่อตอบสนองต่อปัญหาความท้าทายต่าง ๆ ในปัจจุบัน และเพื่อสร้างธรรมาภิบาลโลกที่แท้จริงสำหรับประชาชน

แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เรากลับถูกถาโถมในสหรัฐด้วยข้อเรียกร้องให้ทำสงครามกับจีน ด้วยการรณรงค์ให้มองจีนเป็นอสูรร้าย

ทั้งสองประเทศเชื่อมโยงกันผ่านระบบการผลิตและบริโภค มิใช่ผ่านความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน เราจำเป็นต้องแยกส่วนว่าเศรษฐกิจและประชาชนของทั้งสองประเทศถูกควบคุมโดยธนาคารระหว่างประเทศที่ไร้ความปรานี แต่เราจำเป็นต้องมีการเชื่อมสัมพันธ์ที่ลึกซึ่งยิ่งขึ้นระหว่างสหรัฐกับญี่ปุ่นในแง่ของการพูดคุยอย่างเป็นรูปธรรมระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศเกี่ยวกับอนาคตร่วมกันซึ่งจะเกิดขึ้นผ่านธรรมาภิบาลที่ซื่อสัตย์และโปร่งใสเพื่อโลกและคนรุ่นใหม่ในอนาคต

--

--