Emanuel Pastreich
2 min readAug 29, 2022

“รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า: อิสรภาพทางเศรษฐกิจหรือก้าวแรกสู่ระบบทาส”

“รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า: อิสรภาพทางเศรษฐกิจหรือก้าวแรกสู่ระบบทาส”

Emanuel Pastreich

ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ

(ผู้สมัครอิสระ)

ในระหว่างการเลือกตั้งแบบไพรมารีของพรรคเดโมแครต Andrew Yang ได้กล่าวถึงประเด็นรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า (Universal Basic income: UBI) และเน้นแนวคิดนี้เป็นศูนย์กลางของวิสัยทัศน์ที่เขามีต่อเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา สาระสำคัญดังกล่าวได้ถูกนำมากล่าวถึงอีกครั้งโดย Bernie Sanders ซึ่งกล่าวว่าการรับประกันรายได้ที่ประเทศอย่างเดนมาร์กและฟินแลนด์มอบให้นั้นเป็นโมเดลที่มีความเป็นไปได้สำหรับการพัฒนาในอนาคต

ทั้ง Yang และ Sanders กล่าวว่า การผลิตโดยอัตโนมัติและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในสหรัฐได้ก่อให้เกิดความล่าช้าในการสร้างงานแม้ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังรุ่งเรือง และรายได้พื้นฐานถ้วนหน้าเป็นสิ่งที่สามารถตอบสนองต่อสภาวะดังกล่าวได้ดีที่สุด

รายได้พื้นฐานถ้วนหน้ามีข้อดีและข้อเสียที่ประชาชนจำเป็นต้องมีการอภิปรายอย่างรอบคอบ ทั้งในสื่อและในสภา การอภิปรายดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยในสภาพแวดล้อมที่บีบบังคับในปัจจุบัน

สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ คือ เราถูกบังคับให้รับรายได้พื้นฐานถ้วนหน้าโดยปราศจากกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือความรับผิดชอบตามระบอบประชาธิปไตยใด ๆ โดยเป็นที่รู้จักกันในชื่อของ “เช็คเงินสดช่วยเหลือสถานการณ์โคโรนาไวรัส” หนังสือพิมพ์ต่าง ๆ แจ้งให้เราทราบว่าเราอาจได้รับเช็คอีก 1,200 เหรียญสหรัฐทางไปรษณีย์ในเร็ว ๆ นี้หากสภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมาย

ฉะนั้น เราลองถอยหลังออกมาแล้วนึกถึงเช็ค 1,200 เหรียญสหรัฐที่รัฐบาลเสนอให้แก่เรา สำหรับพวกเราหลาย ๆ คน การล็อกดาวน์ในปัจจุบันได้นำพาชีวิตทางด้านเศรษฐกิจของเรามาถึงจุดจบ โดยปล่อยให้เราต้องตกงาน เช็คเงินสดช่วยเหลือเป็นการจ่ายเงินรูปแบบเดียวที่เราได้รับ ซึ่งโดยพฤตินัยแล้วก็คือ “รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า” ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ แต่รายได้พื้นฐานถ้วนหน้านี้ช่วยให้เราได้เป็นศิลปินนักสร้างสรรค์ ได้ทำงานอาสาสมัครในละแวกบ้าน ได้มีความมั่นคงทางการเงินที่จะช่วยให้เราตระหนักในตนเองอย่างเต็มที่ได้หรือไม่

ไม่ เป็นเรื่องน่าเศร้าที่รายได้พื้นฐานถ้วนหน้านี้ถูกบังคับมาให้เราจากเบื้องบน ใครจะรู้ว่าแนวคิดนี้มาจากใคร แน่นอนว่าไม่มีใครถามความคิดเห็นของเรา เราไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจว่าเป็นจำนวนเงินเท่าไรหรือใครได้บ้าง แต่ที่แน่ ๆ คือ สำหรับพวกเราส่วนใหญ่ เงินส่วนนี้ไม่เพียงพอเลยแม้แต่น้อย

นอกจากนี้ การอภิปรายเกี่ยวกับรายได้พื้นฐานถ้วนหน้าเหมารวมว่ารายได้คือปัญหาวิกฤตสำหรับชาวอเมริกัน ไม่มีนักเศรษฐศาสตร์ที่แท้จริงคนไหนเชื่อเรื่องหลอกลวงนี้ ปัญหาหลักในสหรัฐคือสินทรัพย์ ความเป็นเจ้าของ และสินทรัพย์ถูกครอบงำโดยกลุ่มคนรวยที่มีเพียงหยิบมือเดียว

การตอบสนองต่อโควิด-19 อย่างสุดโต่งได้ปิดสวิตช์เศรษฐกิจของสหรัฐ และได้นำไปสู่การตกงานครั้งใหญ่ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือน การทำลายเศรษฐกิจที่ถูกควบคุมซึ่งมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าในครั้งนี้ได้ทำให้พวกเราต้องอ้อนวอนขอรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า และเราก็กำลังได้รับสิ่งนี้

ในระหว่างนี้ เศรษฐีพันล้านจะได้รับเงินอุดหนุนหลายพันล้านเหรียญเช่นเดียวกับบรรดาซีอีโอ คนเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องได้รายได้พื้นฐานถ้วนหน้าเพราะพวกเขามีรายได้จากการเก็งกำไร จากเงินที่พวกเขาพิมพ์ขึ้นมา จากสิ่งที่พวกเขาพรากไปจากเรา โควิด-19 เป็นเรื่องของการโอนถ่ายความมั่งคั่งครั้งใหญ่ และหากการโอนถ่ายดังกล่าวไม่หยุดลง รายได้พื้นฐานก็จะช่วยอะไรไม่ได้มาก

พวกเราส่วนใหญ่กำลังเผชิญกับการขับไล่ ร้านค้าเล็ก ๆ ของเรากำลังถูกปิดโดยกฎที่ตั้งขึ้นตามอำเภอใจเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวอย่างอิสระของเรา และพวกเราจำนวนไม่น้อยต้องเผชิญกับความอดอยากและไร้ที่อยู่อาศัยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าหากไม่มีการลงมือจัดการในตอนนี้

การมอบรายได้พื้นฐานให้แก่เราโดยไม่จัดการปัญหาการกระจุกตัวของความมั่งคั่งมหาศาล ซึ่งแย่ลงอย่างเป็นทวีคูณในช่วงเวลาเพียงห้าเดือนที่ผ่านมานั้นเป็นสูตรสำเร็จแห่งความหายนะ การทำเช่นนั้นหลังจากสร้างสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เราไม่มีทางเลือกนอกเหนือไปจากการยอมรับเช็คเหล่านั้นถือเป็นอาชญากรรม

กลุ่มคนที่ร่ำรวยมหาศาลได้ใช้เวลาในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 เดือนสุดท้ายในการพิมพ์ธนบัตรผ่านธนาคารกลางสหรัฐและส่งกลับไปให้ตนเอง หากเราไม่นำเงินส่วนนั้นคืนมาก็จะไม่สามารถต่อต้านความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจได้

เงินจำนวนระหว่าง 5–10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐได้สูญหายไปในระหว่างที่คุณถูกเบี่ยงเบนความสนใจ หากเราไม่ดำเนินการใด ๆ กับความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่ถูกสร้างขึ้นแบบปลอม ๆ ในสหรัฐ หากเราปล่อยให้โจรที่อยู่เบื้องบนเก็บเงินของพวกเขาไว้ เงินฟรีจากรัฐบาลก็จะไม่เป็นของฟรีแต่จะจ่ายด้วยภาษีของคุณ (แน่นอนว่าไม่ใช่ภาษีจากบริษัทข้ามชาติที่มีสำนักงานใหญ่อยู่นอกอาณาเขต) หรือเงินก้อนนี้จะเพิ่มหนี้ของประเทศและกัดกร่อนกำลังซื้อของคุณ

เราไม่สามารถปลูกอาหารเองได้ เราไม่สามารถสร้างพลังงานไว้ใช้เองได้ และเราไม่สามารถผลิตเสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ สำหรับใช้ในชีวิตประจำวันของเราเองได้ เราทำได้เพียงใช้เงินที่บริษัทจ่ายให้เราเพื่อนำไปซื้อผลิตภัณฑ์จากห้างร้านขนาดใหญ่ซึ่งดำเนินธุรกิจโดยบรรษัทข้ามชาติ ห้างร้านเหล่านี้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในต่างประเทศโดยแรงงานที่ได้รับค่าจ้างต่ำ

รัฐบาลได้กลายมาเป็นของเล่นของกลุ่มผู้ร่ำรวยเงินทองและอำนาจ เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง ผู้พิพากษา และแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ระดับกลางได้รับการแต่งตั้งด้วยการสนับสนุนจากบรรษัทข้ามชาติและวาณิชธนกิจ ส่วนนักการเมืองก็ยิ่งแย่ไปกว่านั้น

ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงในคณะรัฐบาลได้ถูกถอดถอน และหน่วยงานรัฐซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งนั้นปัจจุบันได้ว่าจ้างให้บริษัทเอกชนเป็นผู้ดำเนินงานในส่วนที่รัฐเคยทำในอดีต หากแต่เป็นการดำเนินงานที่เน้นผลกำไรในระยะสั้นแทนที่จะเน้นประชาชน บริษัทเหล่านี้ได้รับค่าตอบแทนจากภาษีของคุณเพื่อทำงานของรัฐ แต่ไม่เคยสาบานตนต่อรัฐธรรมนูญ และภารกิจหลักของบริษัทเหล่านี้คือการมอบผลกำไรให้แก่เจ้าของบริษัท

การกระจายทรัพย์สินใหม่ ความโปร่งใสโดยสมบูรณ์ของรัฐบาล และการยุติอิทธิพลที่มีต่อการกำหนดนโยบายซึ่งไม่เป็นธรรมและเป็นอันตรายของกลุ่มคนที่ร่ำรวย รวมทั้งธนาคารและบริษัทที่พวกเขาควบคุมนั้น ต้องเกิดขึ้นก่อนที่เราจะสามารถเริ่มอภิปรายเรื่องรายได้พื้นฐาน

เราจำเป็นต้องพิจารณาว่าเหตุใดธนาคารจึงต้องการปลูกฝังนิสัยการพึ่งพาและการเพิกเฉยให้แก่เรา เพราะถึงอย่างไร หากเราทำได้แค่นั่งดูโทรทัศน์จนกว่าเช็คเงินสดช่วยเหลือจะมาถึง เราก็จะไม่สามารถรวมตัวเป็นกลุ่มเพื่อลงมือจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้ เราจะไม่สามารถสร้างเศรษฐกิจของเราเองได้

เราจะมาพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีและรายได้พื้นฐานถ้วนหน้าที่เสนอกันสักครู่ ข้อโต้แย้งที่ Yang และ Sanders หยิบยกขึ้นมาก็คือ ระบบอัตโนมัติและการเติบโตของ AI และเทคโนโลยีอื่น ๆ กำลังลดจำนวนงานเนื่องจากไม่มีงานเกิดขึ้นในภาคส่วนอื่น ๆ แม้ในช่วงที่ประสิทธิผลเพิ่มขึ้นก็ตาม ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องมี UBI เพื่อให้มั่นใจว่าแรงงานที่ถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ จะมีงานทำและสามารถปรับตัวให้เข้ากับความเป็นจริงใหม่ในการทำงานได้

มีความคิดที่ว่า เช่นเดียวกับที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก ระบบอัตโนมัติ การนำ AI มาใช้ และจุดจบของการปฏิสัมพันธ์จากมนุษย์ถึงมนุษย์เป็นกฎธรรมชาติที่ไม่อาจละเมิดได้ เรื่องดังกล่าวอยู่นอกเหนือขอบเขตของการอภิปรายนโยบาย

แต่เราถูกบังคับให้ฉีกกฎธรรมชาติของสังคมเพื่อปรนเปรอเทพเจ้าแห่งเทคโนโลยีผู้โหดเหี้ยมที่เรียกร้องให้มีการเสียสละอย่างไม่จบสิ้นเพื่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 เพื่อการครอบงำโลกโดยระบบอัตโนมัติ รถยนต์ที่ไม่ต้องมีคนขับ หุ่นยนต์และโดรนซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จริง ๆ หรือ การใช้อินเทอร์เน็ตในการทำสิ่งต่าง ๆ เป็นจุดจบของมนุษยชาติอย่างนั้นหรือ

การส่งเสริม AI (ปัญญาประดิษฐ์) เป็นไปตามพันธสัญญาของพระเจ้ากับมนุษย์หรือไม่ หรือเป็นอุบายเพื่อเพิ่มผลกำไรสำหรับคนกลุ่มเล็ก ๆ และผลักดันคนทั่วไปสู่ความยากจนและการพึ่งพาเสียมากกว่า

คำตอบของคำถามนี้ไม่ชัดเจน โดยจำเป็นต้องมีการอภิปรายอย่างเปิดกว้างร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านสังคม เทคโนโลยี การกำกับดูแลและเศรษฐศาสตร์ และยังต้องรวมถึงประชาชนทั่วไปซึ่งเป็นผู้ที่เข้าใจได้ดีกว่าใคร ๆ ว่าผลกระทบจากเทคโนโลยีมีอะไรได้บ้าง นอกจากนี้ การอภิปรายควรมีความโปร่งใสและมีความเป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อไม่ให้เหลือช่องว่างให้กลุ่มคนร่ำรวยซึ่งได้ประโยชน์จากระบบอัตโนมัติและ AI อำพรางว่าความต้องการส่วนตัวของพวกเขาเป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์

ประสิทธิผลที่ปราศจากการเติบโตของงานคือเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้เป็นเหตุผลสำหรับรายได้พื้นฐานนี้ ประสิทธิผลคือสิ่งมหัศจรรย์ที่ใครก็ไม่สามารถเข้าถึงได้นอกจากพระชั้นสูงที่ผ่านพิธีเจิมมาแล้ว เป็นแนวคิดผิด ๆ ที่ปรุงแต่งขึ้นเพื่อให้เหตุผลทุกสิ่งทุกอย่าง ประสิทธิผลไม่ใช่กฎแรงโน้มถ่วงหรือกฎข้อที่สองของอุณหพลศาสตร์ หากแต่เป็นแนวคิดที่เอนเอียงและบิดเบี้ยวที่ถือว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจบางรูปแบบมีความสำคัญมากกว่ารูปแบบอื่น

หากคุณใช้เวลาในวันหนึ่งช่วยเหลือคุณแม่ที่ป่วย ดูแลผักในฟาร์มของชุมชน เป็นอาสาสมัครช่วยเหลือคนพิการ หรือเล่นกับลูก ๆ กิจกรรมดังกล่าวไม่ถือว่ามีประสิทธิผลสำหรับผู้ที่ตั้งกฎของประสิทธิผลขึ้นมา

แต่หากคุณทำลายป่าหรือพื้นที่ฟาร์มเพื่อก่อสร้างห้างสรรพสินค้าที่ไม่จำเป็น หากคุณปล่อยน้ำเสียจากฟาร์มของโรงงานลงในแม่น้ำและทะเลสาบ หรือจากเหมืองยูเรเนียม หรือหากคุณทำสงครามในต่างประเทศ กิจกรรมเหล่านี้ถือว่ามีประสิทธิผล ช่องว่างระหว่างการจ้างงานและประสิทธิผลไม่ได้เป็นเพียงผลจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างแน่นอน

และสุดท้าย เราจำเป็นต้องพิจารณาว่าสหรัฐยืนอยู่ ณ จุดใดในประวัติศาสตร์ในขณะนี้ และเราเดินทางมาจากจุดใด ก่อนที่เราจะมาพูดคุยกันว่าเรากำลังจะมุ่งหน้าไปที่ไหน

ประชากรรุ่นก่อนหน้าเคยมีการแข่งขันทางอุดมการณ์และเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งระหว่างระบบเศรษฐกิจแบบตลาดของสหรัฐอเมริกาและยุโรป และเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมของสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเราเรียกกันอย่างคลุมเครือว่าสงครามเย็น

สหรัฐยึดมั่นในอุดมคติที่ว่า ปัจเจกบุคคลสามารถประสบความสำเร็จด้วยความพยายามของตนเองได้อย่างไร้ขีดจำกัด และเราถือว่าอิสรภาพส่วนบุคคลสำคัญกว่าประโยชน์ส่วนรวม

ส่วนเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมถือว่าความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจเป็นหัวใจของสังคมที่ดี และใช้มาตรการเชิงป้องกันเพื่อให้มั่นใจถึงเศรษฐกิจที่ค่อนข้างเท่าเทียม

ผมเติบโตในสหรัฐอเมริกา เราถือว่าเราสามารถมีความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจและได้รับผลตอบแทนจากความพยายามเป็นพิเศษของเราในลักษณะที่เหมาะสมได้พร้อม ๆ กัน

แต่สิ่งที่เราถือว่าเป็นสภาวะตามธรรมชาติไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติเลย การสะสมความมั่งคั่งอย่างมหาศาล การเอารัดเอาเปรียบแรงงาน และการใช้แรงงานเด็กเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันเป็นมาตรฐานในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และแม้กระทั่งเมื่อเข้าสู่ช่วงทศวรรษที่ 1930

แต่การมีอยู่ของกลุ่มสังคมนิยมในอีกฝั่งของโลก ซึ่งแม้จะไม่สมบูรณ์แบบแต่ก็สร้างแรงกดดันให้กับสหรัฐในการปรับเปลี่ยนระบบและเปิดให้สังคมมีความยุติธรรมมากขึ้นอย่างไม่รู้จบ ซึ่งต้องยอมรับว่ามีข้อจำกัดอย่างลึกซึ้ง

ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1930 ได้เกิดภัยคุกคามของการปฏิวัติภายในสหรัฐ และเป็นปัจจัยที่บังคับให้มีการดำเนินการเกี่ยวกับปัญหาแรงงานที่มิเช่นนั้นแล้วจะถูกละเลย

เราอาจไม่ทราบถึงแรงกดดันดังกล่าว แต่มันทำให้สิ่งต่าง ๆ เช่น สวัสดิการและค่าแรงขั้นต่ำเกิดขึ้นได้

ในช่วงดังกล่าว เงินเดือนของซีอีโอมีขีดจำกัด ภาษีสำหรับคนรวยพุ่งสูงขึ้นถึง 90% และไม่มีเศรษฐีพันล้านหรือแหล่งหลบภาษีนอกอาณาเขต อเมริกาไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะคนรวยมีคุณธรรม แต่เป็นเพราะได้รับแรงกดดันอย่างไม่จบสิ้น

เมื่อ “กลุ่มคอมมิวนิสต์” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีมีการต่อยอดเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมาและการต่อต้านทางด้านอุดมการณ์ลดลง สหรัฐก็ค่อย ๆ เปลี่ยนกลับไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดที่ไร้ความปราณีอย่างที่เคยเป็นมาในระบบที่แรงงานไม่มีความสำคัญมากนัก แต่ในครั้งนี้ ระบบอัตโนมัติและโดรน รวมถึง AI และหุ่นยนต์ทำให้มีโอกาสได้เห็นการทดลองที่ดุดันยิ่งกว่าเดิมได้

แต่การเปลี่ยนแปลงในสังคมอเมริกันก็เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศซึ่งเกิดขึ้นช้าเกินกว่าที่เราจะรู้เท่าทัน เรามัวแต่ยุ่งอยู่กับอีเมลและ Facebook จนไม่ได้สังเกต

เราไม่อาจรับรู้ได้ว่ากฎที่เราเคยยอมรับได้หายไป และโลกใบใหม่อันโหดร้ายได้กำเนิดขึ้นแล้ว

สุดท้ายนี้ เราไม่สามารถอภิปรายเรื่องรายได้พื้นฐานถ้วนหน้าในสหรัฐได้จนกว่าเราจะเริ่มสร้างวัฒนธรรม สร้างระบบที่มีแรงต้านเพื่อที่จะยืนหยัดเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนโดยทั่วไป นั่นคือคำถามสุดท้าย อย่างไรก็ตาม แรงต้านดังกล่าวต้องมาจากคุณ จากผม และจากเรา มิใช่จากผู้เชี่ยวชาญหรือนักการเมือง และแน่นอนว่าไม่ได้มาจากบริษัทที่มีแต่โดรนและหุ่นยนต์

No responses yet